เทศน์เช้า วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรม เพราะวันนี้วันพระ วันพระ มรณานุสติ ครูบาอาจารย์ท่านสิ้นชีวิตไปมันเป็นการเตือนเรานะ มรณานุสติระลึกถึงความตายตลอดเวลา ถ้าเราระลึกถึงความตายตลอดเวลานะ ชีวิตเรามันจะไม่เศร้าหมองจนเกินไป ไอ้นี่มันเห่อเหิมทะเยอทะยานเกินไป เห่อเหิมทะเยอทะยานแบบธรรมะนะ ถ้าแบบธรรมะ เห็นไหม
คนเราเกิดหนหนึ่ง ตายหนหนึ่ง ถ้าเกิดหนหนึ่ง ตายหนหนึ่ง ถ้ามีสัจจะมีความจริงในหัวใจ ถ้ามันเห่อเหิม มันตื่นตัวในทางธรรมะ ในทางธรรมะมันจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาไง มันจะทำตามความเป็นจริงขึ้นมาในใจของเราให้ได้ ถ้ามันทำความจริงขึ้นมาในใจของเราให้ได้ นั่นน่ะมรณานุสติ
นี่เกิดหนหนึ่ง ตายหนหนึ่ง แต่กิเลสมันพาตายแล้วตายเล่า กิเลสมันทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจตลอดเวลา กิเลสมันทำให้เราเจ็บปวดตลอดเวลาไง มันตายซับตายซ้อน มันตายหลายหน คนเรามันเกิดมาแล้วมันตายหลายหน แต่ในวิทยาศาสตร์คนเราเกิดได้หนหนึ่ง ตายได้หนหนึ่ง
ถ้าเกิดมาหนหนึ่ง เกิดมาด้วยเวรด้วยกรรม เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเที่ยวสวน เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันต้องมีตรงข้ามไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ถ้าตรงข้ามไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายเพราะเหตุใด
ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายเพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีความเชื่อในพระพุทธศาสนา ในพระพุทธศาสนาสอนเรื่องระดับของทาน ระดับการเสียสละขึ้นมา เสียสละขึ้นมาให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข ถ้าสังคมร่มเย็นเป็นสุขขึ้นมา คนเรามีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติ ถ้าสังคมร่มเย็นเป็นสุข คนที่ในบ้านมีความสุขมีความสงบระงับจะไปไหนเขาก็ไปด้วยความชื่นใจของเขา
ในบ้านมีแต่ความขาดแคลน ในบ้านมีแต่ความทุกข์ความยากขึ้นมา แล้วยังดัดจริตจะมาปฏิบัติธรรมๆ นี่ไง แต่ถ้าในบ้านมันอุดมสมบูรณ์ ในบ้านของเราพูดกันเข้าใจกัน จิตใจที่สูงส่ง จิตใจที่สูงส่งขึ้นมานะ ในบ้านเราจะขาดแคลนขนาดไหนมันก็ขาดแคลนเฉพาะในบ้านของเรา แต่ในหัวใจของเรามันรื่นเริงมันอาจหาญไง
ถ้ามันขาดแคลน มันขาดแคลนอะไร คนเรามีหายใจเข้าและหายใจออกมันจะขาดแคลนที่ไหน คนเราเกิดมามีกายกับใจมันขาดแคลนตรงไหน มันไม่เห็นขาดแคลนสิ่งใดเลย ถ้ามันมีสติมีปัญญา มันมีสติปัญญาหาอยู่หากินได้ทั้งนั้นน่ะ ความหาอยู่หากินก็หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่คนมีสติปัญญาขึ้นมาเขาจะหาธรรมะในหัวใจของเขา
นี่ไง เวลาว่าไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายในการประพฤติปฏิบัติ เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา คนที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ผลของวัฏฏะๆ มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันเกิดจากเวรจากกรรม เกิดจากเวรจากกรรมมันเกิดจากการกระทำ ถ้าเกิดจากการกระทำนะ
เวลาบ้านเรือนเราขาดแคลน เวลาขาดแคลนขึ้นมาแล้วมันจะหยิบฉวยขึ้นมาให้มันอุดมสมบูรณ์ อุดมสมบูรณ์ด้วยความทุจริต ด้วยความเห็นแก่ตัว ด้วยการเบียดเบียนคนอื่น มันไม่เป็นประโยชน์อะไรขึ้นมา มันสร้างเวรสร้างกรรมขึ้นมา มันจะได้วัตถุนั้นมา แต่มันก็ได้เวรได้กรรมนั้นมาด้วย
แต่คนถ้าเขามีสติปัญญาของเขา จะมีมากมีน้อยขึ้นมาเราก็ใช้สอยแค่นี้ คนจะมีมากมายมหาศาลขนาดไหนมันก็ใช้สอยแค่ปากท้องเท่านั้นน่ะ สิ่งที่ได้มา ได้มาด้วยกิเลส ได้มาด้วยตัณหาความทะยานอยาก ได้มาด้วยความอยากใหญ่ ได้มาด้วยการเหยียบย่ำคนอื่น ไร้สาระ
ถ้ามันได้มา ได้มาด้วยความชื่นชม ได้มาด้วยความรื่นเริง ด้วยความอาจหาญ ด้วยความที่เคารพบูชา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านไปไหน เขาบอกว่า เพราะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนถึงมาทำบุญกุศลกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามหาศาล
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ไม่ใช่ เราทำมาเอง เราทำมาเอง”
เวลาเป็นพระโพธิสัตว์ เวลาเราไปเห็นเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะนี่ เราไม่เห็นเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะได้สร้างสมบุญญาธิการมาขนาดไหน เสียสละมาแล้ว เสียสละเล่า เสียสละมาทุกๆ อย่าง เพราะการเสียสละ การกระทำอันนั้น ผลของอันนั้นมันให้ผลของมันมาไง เวลาให้ผลของมันมา เราได้ช่วยชีวิตคนนี้ เราได้อุทิศเพื่อคนคนนี้ เราได้ทำมาทั้งนั้น ได้ทำมาทั้งนั้น เวลาได้ทำมาทั้งนั้นน่ะ เวลาเขาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เขาเกิดมาแล้วเขาซาบซึ้งในบุญในคุณอันนั้น
เวลาหลวงตาท่านทำโครงการช่วยชาติฯ ท่านบอกเลย นี่สายบุญสายกรรมของท่าน คนที่ชื่นชม คนที่เห็นด้วยกับท่านเป็นสายบุญสายกรรมมา ไอ้พวกคัดค้าน ไอ้พวกตะแบง ไอ้พวกเห็นแก่ตัว บอก “เราไม่ได้ทำ เราไม่ได้ทำ มันพวกไอ้นักธุรกิจมันทำ ไอ้เราไม่ได้ทำ ไม่ได้ทำ”
ไม่ได้ทำ มันบ้านหลังเดียวกัน เวลาธนาคารมันยึด มันยึดทั้งบ้านนะ ไอ้คนไปกู้ก็คนเดียวเท่านั้นน่ะ ไอ้ทั้งบ้านไม่มีใครได้อยู่ได้อาศัยเลย
นี่ก็เหมือนกัน “เราไม่ได้ทำ เราไม่ได้ทำ”
ได้ทำหรือไม่ได้ทำ สิ่งที่ว่าคนที่มีบุญกุศลเขาช่วยเป็นผู้นำเราให้เราสร้างของเรา ให้เราทำของเรา มันต้องมีเวรมีกรรมต่อกัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ที่เราเกิดมาเรามานั่งอยู่ด้วยกันนี่ คนเราเกิดมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่เคยเป็นญาติเป็นพี่เป็นน้องกันไม่มีเลย แต่เป็นชาติใดภพใดเท่านั้น
ถ้าเป็นชาติใดภพใด เราทำคุณงามความดีต่อกัน มีน้ำใจต่อกันนะ มันเกิดมาแล้วมันจะรักใคร่เอ็นดูต่อกัน เห็นไหม ดูในครอบครัวหลายๆ ครอบครัวเลย มันจะมีพี่น้องสองคนที่รักกันมาก เขาจะคุยกันรู้เรื่องไง แต่คนอื่นเขาคุยไม่รู้เรื่อง นั่นไง เขาสร้างเวรสร้างกรรมของเขามา เขาทำของเขามา
ถ้าสร้างเวรสร้างกรรมนั้นมา อันนั้นมันเป็นอดีตส่งให้เรามาในปัจจุบันนี้ ส่งให้เรามาได้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาพระพุทธศาสนานะ เราเกิดมาเราเป็นปัญญาชนไง เรามีสติปัญญา เห็นไหม
คนเราก็เกิดหนเดียว ตายหนเดียวเท่านั้นแหละ คนเราเกิดหนหนึ่งก็ตายหนหนึ่ง เวลาตายหนหนึ่ง ถ้ามันเกิดจริงแล้วตายจริงก็จบไง แต่นี่มันเกิดหนหนึ่งแล้วมันตายกี่รอบ ตายซ้ำตายซาก ตายด้วยความทุกข์ความยาก ตายด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ตายด้วยกิเลสบีบคั้น นี่ตายอยู่ตลอดเวลา
แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสอน ทำไม่ได้นะ ให้ระลึกถึงมรณานุสติ เวลาคนเราเกิดมาต้องตายทั้งสิ้น ถ้าเกิดมาต้องตายทั้งสิ้น เรามีสติมีปัญญา เราอย่าเห่อเหิมทะเยอทะยานจนเกินไป
การเห่อเหิมทะเยอทะยานในทางธรรมนี่สุดยอด การทะเยอทะยานทางธรรมนะ ในทางธรรม เห่อเหิมทะเยอทะยานในการเสียสละ เห่อเหิมทะเยอทะยานโดยสติปัญญารักษาใจของตน ถ้ามันรักษาใจของตนนะ ใครแค่ทำความสงบของใจเข้ามาได้มันจะเกิดความมหัศจรรย์แล้ว ฤๅษีชีไพรในครั้งพุทธกาลเขาพยายามประพฤติปฏิบัติของเขา แต่เขาไม่มีครูบาอาจารย์ที่จะสอนเขาด้วยปัญญา ด้วยฐานของสมาธิ ศีล สมาธิ ปัญญา มีสมาธิแล้วฝึกหัดใช้ปัญญาไม่เป็น ฝึกหัดใช้ปัญญาไม่ได้
สิ่งที่ปัญญาที่เอามาใช้กัน สิ่งที่เป็นสมาธิเอามาใช้กันก็อภิญญา เหาะเหินเดินฟ้า รู้วาระจิต สูงส่งได้แค่นั้น มันเป็นเรื่องของโลกไง เป็นเรื่องของโลกที่มันมีอยู่ประจำโลก มันมีอยู่ประจำหัวใจของสัตว์โลก หัวใจของสัตว์โลกเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เขาได้สร้างบุญสร้างกุศลของเขามา เขาได้ฝึกฝนของเขามา เขามีจริตนิสัยของเขา เขาทำใจของเขาสงบเข้าไป ไปถึงฐาน ถึงที่คุณงามความดีของเขา เขาก็ทำได้แค่นั้นไง แต่เขาไม่มีใครสามารถยกหัวใจขึ้นสู่วิปัสสนาได้ ไม่มีใครสามารถทำได้ เว้นไว้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วมาฝึกฝนมาสั่งสอนพวกเราไง แต่พวกเรามันขายก่อนซื้อไง อวดดี อวดเด่น อวดรู้ไง
“สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ ต้องใช้ปัญญาไปเลย ต้องใช้ปัญญาไปเลย”
ปัญญาอะไรของเอ็ง ปัญญาในพระพุทธศาสนานะ พระพุทธศาสนามันจะยั่งยืนมั่นคงได้ เห็นไหม เวลามารมานิมนต์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานตลอด “ถ้าเป็นพระอรหันต์ถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์แล้วก็ตายไปสิ ให้มันมีความสุขๆ ไง”
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “มารเอย เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเรายังไม่เข้มแข็ง ยังไม่แก่กล้าสามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ เราจะไม่ยอมนิพพาน”
ท่านวางธรรมและวางวินัยนี้ไว้ วางธรรมและวินัยนี้ไว้ให้ทำไมล่ะ ให้ศาสนามั่นคงไง มั่นคงเพื่อใครล่ะ มั่นคงไว้กับไอ้คนที่ทุกข์ๆ ยากๆ ไอ้คนที่มันทุกข์ๆ ยากๆ ที่มันจะอาเจียน มันจะกระอักโลหิตนั่นน่ะ ไอ้พวกทุกข์พวกยากนั่นน่ะมันต้องการธรรมโอสถ มันต้องการเข้าไปถึงหัวใจของมัน
แต่ไอ้พวกทุกข์ๆ ยากๆ ที่จะกระอักโลหิตมันเห็นไม่ได้เพราะใจมันตกต่ำ ใจมันมีแต่ความทุกข์บีบคั้นไง มันก็ฆ่าตัวตายทำลายชีวิตของมันไปไง แล้วมันก็ต้องทำลายชีวิตมันไปซ้ำๆ ซากๆ ไง
แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ให้ศึกษา สุตมยปัญญาๆ ถ้ามันยังดื้อด้าน มันยังอวดดี ถือดีอยู่ ก็ให้มันศึกษาไว้ๆ เวลามันศึกษาไว้ ถ้ามันศึกษา มันระลึกได้ถึงเรื่องอริยสัจ เวลามันไปทุกข์ไปยากขึ้นมา เออ! พระพุทธเจ้าบอกไว้แล้ว พระพุทธเจ้าบอกไว้แล้ว เราเองโง่ๆๆ อวดดีกับพระพุทธเจ้า อวดดีว่าฉันมีเงินมีทอง ฉันมีความสุข ฉันจะแสวงหาเพื่อความสุขของฉัน
แต่เวลากิเลสมันบีบคั้น เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา แล้วถ้ามันศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ขึ้นมา มันจะบอก อ๋อ! พระพุทธเจ้าบอกไว้แล้วๆ แต่เราขาดสติ เราไม่มีสติปัญญาของเราเองไง
แต่เมื่อใดที่มีสติปัญญาขึ้นมาแล้วมาฝึกหัดทำสมาธิๆ ถ้ามันฝึกหัดใช้ปัญญา นี่หัวใจของคนที่พร้อมที่จะรู้แจ้ง มันต้องมีพื้นฐานความสำนึกของตน ถ้ามีความสำนึกของตน ทำสัมมาสมาธิได้ ศีล สมาธิ ปัญญา สัมมาสมาธิเป็นพื้นฐานยกขึ้นสู่วิปัสสนา
ถ้ามันมีสมาธิขึ้นมาแล้วถ้ามันยกขึ้นสู่วิปัสสนา เห็นไหม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปริยัติ ศึกษา ศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ ถ้าศึกษามาเป็นพื้นฐานๆ มันจะมีสติปัญญาของมัน ถ้าจิตมันสงบแล้วมันจะใช้ปัญญาของมันได้ไง แต่ถ้าจิตมันไม่สงบมันก็ใช้ปัญญาก็สุตมยปัญญา ปัญญาแบบโลกๆ นี่ไง
นี่ไง สิ่งที่ว่าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่าศาสนานี้มั่นคงๆ มั่นคงเพราะวางธรรมวินัยนี้ไว้ให้มีสามัญสำนึก ให้มันมีสติมีปัญญาของมัน แล้วถ้ามีสติมีปัญญาของมัน มันก็อยู่ที่คนมีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหน
ถ้าไม่มีอำนาจวาสนาขึ้นมาก็เอาสีข้างเข้าถูนะ “ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญาๆ”
ปัญญาก็ ป.ปลา ไง ไม้หันอากาศ ญ.หญิงไง ญ.หญิง สระอา ปัญญา แล้วปัญญาเอ็งล่ะ
ความรู้สึกนึกคิดสามัญสำนึกที่นึกได้ ความรู้สึกนึกคิดสามัญสำนึกที่นึกได้กลางหัวใจมันเหมือนฟ้าแลบเลย มันเร็วมาก ความคิดของคนเร็วมาก แล้วความคิดมันจะมาได้เมื่อไหร่ แล้วมันจะมาไหม ถ้ามันมา มันมาก็เอาสีข้างเข้าถูเท่านั้นน่ะ นั่นมันสัญญา รูปแบบ
นี่ไง ดูสิ สิ่งที่เป็นวัตถุๆ เราทิ้งไว้มันไม่สูญหายไปไหนหรอก แต่ความคิดเรามันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา อารมณ์ความรู้สึกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แล้วก็บอก “มันเป็นวิทยาศาสตร์ คนเราเกิดหนหนึ่งก็ตายหนหนึ่ง”
เกิดหนหนึ่งก็ตายซับตายซ้อน ตายซ้ำตายซาก ตายแล้วตายเล่า ตายด้วยความแผดเผาของกิเลส
แต่ถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนเราเกิดหนหนึ่ง ตายคนหนึ่ง แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เกิดซับเกิดซ้อน เกิดแล้วเกิดเล่า เกิดมาด้วยการสร้างบุญกุศล เกิดมาด้วยบาปอกุศลมาก็แล้วแต่ แต่เวลาในปัจจุบันถ้าใครมีอำนาจวาสนานะ เรามาวัดมาวา เราเป็นชาวพุทธๆ ฟังธรรมๆ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแก้ไขความรู้สึกเรา ความคิดเราในหัวใจของเรานี่ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้ามาที่นี่ เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นปัจจัตตัง รู้จำเพาะในหัวใจนี้
หัวใจนี้มืดบอด หัวใจนี้อวดเก่ง หัวใจนี้รู้ไปทุกเรื่อง เรื่องชาวบ้านรู้หมด บ้านใครทำอะไรรู้ทุกเรื่อง บ้านตัวเองมันยังไม่รับผิดชอบ ยิ่งหัวใจไม่ต้องพูดถึงเลย แล้วบอกเกิดหนหนึ่ง ตายหนหนึ่ง
ตายซับตายซ้อน ตายแล้วตายเล่า ตายแบบตายซาก เพราะไม่ดูแลหัวใจของตน ไม่รู้จักการประพฤติปฏิบัติ ไม่รู้จักองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์
นี่มาวัดมาวามาฟังเทศน์อย่างนี้ไง ถ้าฟังเทศน์อย่างนี้ เราสำนึกของเราได้ใช่ไหม นี่ทุกคนก็หามาได้ไง ปัจจัยเครื่องอาศัยเราหามา นี่เป็นวัตถุทาน เป็นอามิส
แต่ถ้าคนที่มีปัญญาขึ้นมา บุญกิริยาวัตถุ เวลานั่งสมาธิภาวนาเขาเสียสละความสะดวกสบาย จะเดิน จะกลิ้งอย่างไรก็ได้ ไม่เอา นั่งสมาธิ นี่ได้บุญแล้ว บุญกิริยาวัตถุ
กิริยาของเรา เราหลบหลีกเขา เราให้สังคมเขาได้ความสะดวกสบาย เราพยายามทำให้สังคมเราราบรื่น เป็นบุญ แล้วนั่งสมาธิเป็นบุญ เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ถ้ามีดวงตาเห็นธรรมนี่ยิ่งยอดบุญเลย สุดยอดๆ ขึ้นมา เราปฏิบัติขึ้นมามันจะเข้ามาสู่ใจของเรา ถ้ามันเข้ามาสู่ใจของเรา เห็นไหม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ กราบสัจธรรมที่เกิดขึ้นในหัวใจนั้นเป็นธรรมแท้ การศึกษานี้เป็นการบอกเล่า เป็นแนวทางที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางแนวทางนี้ไว้ เป็นคำเทศน์ คำสั่ง คำสอน พระอานนท์จำมา พระอุบาลีจำกฎจำกติกามา แล้วทำสังคายนาจดจารึกมาให้เราศึกษา ศึกษามาเพื่อดัดแปลงใจของตน ศึกษามาเพื่อเราๆ ไง นี่ไง สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการศึกษา
ศึกษาแล้วถ้ามันจะเป็นจริงๆ ถ้าจิตมันสงบแล้ว ถ้ามันขึ้นมา นั่นน่ะตัวจริง สติก็สติจริงๆ เพราะสติมันสามารถยับยั้งความฟุ้งซ่านได้ สติสามารถรั้งความคิดเราไว้ได้ สติสามารถควบคุมหัวใจของเราได้
ศีล สมาธิ ปัญญา สมาธิคือความปกติของใจๆ ถ้าใจมันไม่รู้สึกนึกคิดไปข้างนอก มันมั่นคงของมัน นี่สมาธิแล้วถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนา
ยกไม่ได้หรอก ในวงปฏิบัติครูบาอาจารย์ท่านรู้ดี สิ่งที่ยกได้ เวลาเห็นกายๆ เห็นกายอย่างไร เห็นกายด้วยอะไร สัญญาทั้งนั้น อุปาทานทั้งนั้น สร้างภาพทั้งนั้น ความจริงไม่มี ถ้าความจริงมันมีนะ มันเป็นความมหัศจรรย์
คนเรานี่นะ เวลาใช้ไฟฟ้า เราใช้เครื่องไฟฟ้า ไฟฟ้าลัดวงจรมันชอร์ตนะ มันไหม้บ้านเลย ถ้าเราไม่รอบคอบ เราไปจับสายไฟ โดนไฟชอร์ตตายเลย แล้วเวลาไฟชอร์ต มันชอร์ตแล้วสะดุ้งปั๊บ ตายเลย
ความคิด เวลาจิตมันสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ไฟฟ้าคือสมาธิ นี่พื้นฐานของมัน เวลาสู่ปัญญาๆ ปัญญามันเคลื่อนไปได้อย่างไร นี่มันจะเกิดความมหัศจรรย์ของมันนะ ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการภาวนา
ไม่ใช่ปากเปียกปากแฉะที่เอ็งจ้อยๆๆ กันอยู่อย่างนั้นหรอก ไม่ใช่ เพราะจ้อยๆ กันอยู่นั่นพูดอวด พูดอวด พูดถาก พูดถาง พูดเหยียบย่ำทำลายเขา แต่ไม่มีสติปัญญาเท่าทันความคิดของตน เพราะขณะที่พูดถาก พูดถาง พูดอวดนั่นน่ะ นั่นน่ะกิเลสมันหลอกเอ็งอยู่ ปัญญาๆๆ ปัญญากำลังหลอก หลอกให้เอ็งเป็นหมาบ้า กำลังพล่ามๆๆ อยู่นั่น แต่ถ้าเป็นปัญญาขึ้นมามันจะเร็วกว่านั้น
เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศน์ เวลาปัญญา มรรคมันหมุนติ้วๆ ปัญญามันหมุนติ้ว มันหมุนในรอบหัวใจ มันเท่าทันน่ะ ปัญญามันจะย้อนกลับมา ปัญญาคือการรอบรู้ในกองสังขาร สังขารความคิด ความปรุง ความแต่ง ความเจ้าเล่ห์แสนงอนในใจของเรา นี่ปัญญามันแยกมันแยะ มันเท่ามันทัน เท่าทัน เห็นไหม รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันปล่อยวางหมด ความคิดออกมาไม่ได้ นี่ไง เวลาผลของมัน จิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นความคิดของตน จิตเห็นกาย จิตเห็นเวทนา จิตเห็นจิต จิตเห็นธรรม สติปัฏฐาน ๔ ถ้ามันเป็นความจริงนะ มันรู้ของมัน
จากภายนอก ภายใน ภายนอกคือจิตมันส่งออกไปรู้ ไปชอบสิ่งนั้น ข้าวของเงินทอง ทรัพย์สมบัติ นี่ภายนอก ภายใน ภายในมันก็อยากรู้อยากเห็น มันอวด นั่นน่ะภายใน แล้วถ้ามันรู้เท่าทัน ดับข้างนอก ดับข้างใน ดับทั้งหมด ดับเป็นความจริงขึ้นมา นี่เพราะการกระทำอย่างนี้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านถึงได้รู้ได้เห็น
ที่ว่าจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วก็บอกว่า คนเราเกิดมา เกิดหนหนึ่งก็ตายหนหนึ่ง
แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครที่ปฏิบัติมันตายซับตายซ้อน ตายซ้ำตายซาก ตายแล้วตายเล่า ตายด้วยความเจ็บปวด ตายด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจ แต่เวลาเป็นธรรมๆ สุขมาก จิตสงบแล้ว โอ้โฮ! มันมหัศจรรย์มาก เวลาใช้ปัญญาไป อู้ฮู! องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ได้อย่างไร รู้ได้อย่างไร มันมหัศจรรย์ขนาดนั้นน่ะ แล้วมหัศจรรย์อยู่คนเดียวนะ
เวลาไปพูดก็มหัศจรรย์ มหัศจรรย์ก็มหัศจรรย์ดูกีฬาไง
เวลาคำพูดสิ่งใดก็แล้วแต่ กิเลสมันเอาไปปลิ้นไปปล้อนไปพลิกไปแพลงเป็นสมบัติของมันหมดเลย กิเลสนี้มันเอาธรรมะไปแอบอ้างหลอกลวง หลอกลวงคนอื่นไง มันหลอกตัวมันเอง หลอกตัวมันเองจนมันไม่มีโอกาสจะได้เห็นสัจธรรมอันนั้น แล้วมันก็ไปหลอกลวงคนอื่นต่อเนื่องกันไป
แต่ถ้าความเป็นจริงๆ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกในใจอันนั้นมหัศจรรย์มาก นี่พูดถึงว่า ถ้ารู้แจ้ง แล้วถ้ากิเลสมันตาย เกิดหนหนึ่งแล้วตายซาก เหลือแต่ซากตากเมืองทิ้งไว้กับโลก ลาวัฏฏะ แล้วมันจะไม่เกิดอีก
ทางวิทยาศาสตร์ เกิดหนหนึ่ง ตายหนหนึ่ง
แต่ในทางธรรมะนะ เกิดแล้วเกิดเล่า แล้วยังต้องเกิดต่อไป ผลของวัฏฏะ จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่มีวันจบวันสิ้น เพราะเอ็งยังพูดอยู่เลย ถ้าเมื่อมีกรรม มีการกระทำ มีความคิด
เรามีความคิด ความจินตนาการ เรามีอยู่ มีกรรมอยู่นี่ มันต้องให้เหตุให้ผล เห็นไหม เวลาคนเล่นการพนัน คนทำผิดกฎหมายเจอตำรวจมันวิ่งแจ้นเลย เพราะรู้ว่ามันทำผิด คนทำผิดกฎหมายเห็นตำรวจมีปฏิกิริยาทันที จิตมันทำ จิตมันแบกหาม แล้วมันจะไม่มีผลได้อย่างไร คนถ้ายังมีกรรมมีการกระทำอยู่ เกิดแน่นอน
แต่เวลาฆ่ากิเลส กิเลสตายแล้ว เห็นไหม ที่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเป็นกิริยา กิริยาคือไม่มีกรรม ไม่มีการกระทำ ไม่มีสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น สอุปาทิเสสนิพพาน มันสิ้นกิเลสไปแล้ว มีแต่กิริยา
แต่เราสิ้นกิเลสไหม ปากมันว่าสิ้นไง แต่สิ้นมันยังมองเขาเลยนะ มันจะได้เอาเงินเอาทองเขาน่ะ สิ้นกิเลส ตามันยังอยากได้ของเขาอยู่ สิ้นกิเลสหรือ นี่สิ้นแต่ปาก ไม่เป็นความจริง
ถ้ามันเป็นความจริง คนเราเกิดหนหนึ่ง ตายหนหนึ่ง แต่ครูบาอาจารย์ของเราเกิดหนหนึ่ง เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ใช้ความวิริยะความอุตสาหะของตนมีการกระทำภายในใจของตน สิ้นกิเลสไป ไม่เกิดอีกแล้ว เอวัง